"พ.ร.บ .แข่งขันฯมีผลบังคับใช้มาเป็นเวลา 11 ปี แต่ยังไม่สามารถดำเนินการกับ ผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมได้เลย ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย มีผลบังคับใช้มา 10 ปีเอาผิดได้หลายคดี ในเวียดนามก็เพิ่งยกร่างหลังไทย 4 ปี ตอนนี้มีการพิจารณาคดี 30-40 คดี และมาเลเซียก็มีการยกร่างกฎหมายฉบับนี้สำเร็จแล้ว เพราะตามร่างการรวมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) กำหนดให้แต่ละประเทศไป ยกร่างกฎหมายของตัวเอง แล้วค่อยมาคุยกันในอาเซียนว่า จะมีการดำเนินการกับธุรกิจภายในอาเซียนให้แข่งขันเป็นธรรมได้อย่างไร"
นางสาวชุติมา กล่าวว่า จุดอ่อนของ พ.ร.บ.ฉบับนี้หลังจากที่ใช้มา 11 ปีก็คือ เป็นกฎหมายที่การระบุขอบเขตไว้เป็นกรอบกว้าง ๆ จึงต้องมีการปรับปรุงกลไกการทำงานให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจที่จะเปลี่ยนไป โดยมีสภาพการแข่งขันเสรีมากขึ้น ดังนั้น จุดหนึ่งที่อาจจะมีการพิจารณาในการปรับปรุงร่างกฎหมายฉบับนี้ก็คือ การปรับให้สำนักงานแข่งขันทางการค้า ซึ่งปกติอยู่ภายใต้กรมการค้าภายใน ออกเป็นหน่วยงานอิสระ คล้ายกับกรมสวบสวนคดีพิเศษ
ล่าสุด มีรายงานข่าวเข้ามาว่า ปัจจัยหลักที่เป็นสาเหตุให้ต้องเร่งปรับปรุงร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นเพราะความล่าช้าในการยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. … ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎี เพื่อรวมร่างของกรมการค้าภายในกับร่างผู้แทนการค้าไทยเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ไม่ทันต่อสถานการณ์ที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการโชห่วย ที่ได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (โมเดิร์นเทรด) ดังนั้น การแก้ไข พ.ร.บ.แข่งขันฯ จึงเป็นทางออกใหม่ที่ดูแลพฤติกรรมการแข่งขันระหว่างรายใหญ่- รายเล็กให้เกิดความเป็นธรรมด้วย
สำหรับ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายด้านเศรษฐกิจ ที่มีวัตถุประสงค์จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันไม่ให้ธุรกิจขนาดใหญ่ ใช้ความมี "อำนาจเหนือตลาด" ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมต่อกิจการขนาดย่อม เกี่ยวพันกับธุรกิจ โดยกฎหมายฉบับนี้จะแบ่งออกเป็น 7 หมวดดังนี้
หมวด 1 ว่าด้วยคณะกรรมการการ แข่งขันทางการค้า กำหนดให้มีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า มีหน้าที่เสนอแนะรัฐมนตรี ในการออกกฎกระทรวงตามกฎหมายนี้ ประกาศกำหนดส่วนแบ่งตลาด ยอดขายของผู้ประกอบธุรกิจแต่ละ ประเภทที่มีอำนาจเหนือตลาด