วันที่ 6 ตุลาคม 2558 ครม.ได้ประชุมและมีมติเห็นชอบมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินส่วนแบ่งกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลประเภทค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวและค่าดอกเบี้ยเงิกฝาก มีสาระสำคัญ ดังนี้
(ภาพจาก เว็บทำเนียบรัฐบาล )
กระทรวงการคลังเสนอว่า
1. เนื่องจาก พรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 39) พ.ศ. 2557 กำหนดให้ยกเลิกมาตรา 42 (14) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นการยกเลิกการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินส่วนแบ่งกำไรจากการประกอบกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลฯ ทำให้ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญหรือบุคคลในคณะบุคคลฯ จะต้องนำเงินได้สำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งมีผลกระทบต่อห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลบางส่วนที่มิได้มีเจตนาร่วมกันประกอบกิจการ ดังนี้
1.1 การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมที่ได้มาโดยทางมรดก หรือที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญหรือบุคคลในคณะบุคคลฯ มิได้มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมกันเพื่อประกอบกิจการตั้งแต่แรกเริ่ม
1.2 การเปิดบัญชีเงินฝากร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเครือญาติส่วนใหญ่ เป็นไปเพื่อความสะดวกในการเบิกเงิน ถอนเงิน หรือเพื่อชำระค่าสาธารณูปโภค รวมถึงการเปิดบัญชีร่วมกันในกรณีอื่นๆ ที่มิได้มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมประกอบกิจการ เช่น การเปิดบัญชีเงินสดย่อยของนิสิตมหาวิทยาลัย เป็นต้น
2. เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญหรือบุคคลในคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล จึงสมควรกำหนดให้เงินส่วนแบ่งของกำไรจากเงินได้ดังกล่าว เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้ ครม.จึงมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ออกกฎกระทรวง ดังนี้
1. ให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ ดังต่อไปนี้
1.1 เงินส่วนแบ่งของกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งเป็นเงินได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมอันได้มาโดยทางมรดกหรือได้รับมาจากการให้โดยเสน่หา ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามส่วน 2 หมวด 3 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
1.2 เงินส่วนแบ่งของกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งเป็นดอกเบี้ยเงินฝาก และถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ดังกล่าวไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้คืน หรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
2. ให้กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป
ข้อสังเกตุ การที่รัฐยกเลิกมาตรา 42 (14) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการยกเลิกการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินส่วนแบ่งกำไรจากการประกอบกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล ทำให้ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญหรือบุคคลในคณะบุคคลฯ ต้องนำเงินได้สำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรมารวมคำนวณกับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นๆ เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 ครั้งจากเงินได้พึงประเมินจำนวนเดียวกัน จึงเป็นการเก็บภาษีซ้ำซ้อน ( Double Taxation) ที่ขัดกับหลักความเป็นธรรมในการเก็บและเสียภาษี ทั้งยังขัดแย้งกับ หลักนิติธรรม ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองตลอดมา
ครั้งนี้ รัฐยกเว้นไม่เก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซ้ำซ้อน เฉพาะ 2 กรณี คือ เงินได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมอันได้มาโดยทางมรดกหรือได้รับมาจากการให้โดยเสน่หา และเงินได้จากดอกเบี้ยเงินฝากซึ่งมิได้ประสงค์ร่วมกันประกอบกิจการ เป็นเงินได้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วและผู้ถูกหักไม่ได้ขอภาษีคืนหรือไม่ได้ขอเครดิตภาษี เป็นการแก้ไขความผิดพลาดในอดีตให้ถูกต้อง เป็นการยกเลิกการเก็บภาษีซ้ำซ้อนสำหรับ 2 กรณีดังกล่าว แต่นอกจาก 2 กรณีดังกล่าว ยังมีการเก็บภาษีซ้ำซ้อนอื่ๆ อีกมาก ที่เป็นผลมาจากการยกเลิกมาตรา 42 (14) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น รัฐจึงควรที่จะพิจารณายกเลิกการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซ้ำซ้อนซึ่งเกิดจากเหตุเดียวกันที่เหลือโดยเร็วต่อไป
ที่มา เว็บทำเนียบรัฐบาล